ปวดส้นเท้า (รองช้ำ): รู้ทันสาเหตุ แนะวิธีแก้ และท่าบริหารด้วยตัวเอง

อาการเจ็บแปลบที่ส้นเท้าในก้าวแรกหลังตื่นนอน คงเป็นสัญญาณเตือนที่คุ้นเคยสำหรับใครหลายคน อาการ ปวดส้นเท้า นี้มักเป็นอาการเด่นของภาวะที่เรียกว่า “โรครองช้ำ” หรือ “พังผืดใต้ฝ่าเท้าอักเสบ” (Plantar Fasciitis) ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของอาการปวดบริเวณส้นเท้า แม้จะสร้างความเจ็บปวดและรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน แต่ข่าวดีก็คือ ภาวะนี้สามารถจัดการและบรรเทาได้ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องและการดูแลตัวเองอย่างสม่ำเสมอ

บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกถึงทุกแง่มุมของโรครองช้ำ ตั้งแต่ สาเหตุโรครองช้ำ ที่แท้จริง กลุ่มเสี่ยงที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน ไปจนถึง วิธีแก้โรครองช้ำ ที่คุณสามารถทำได้ด้วยตัวเอง รวมถึง ท่ายืดแก้ปวดส้นเท้า ง่ายๆ ที่จะช่วยคืนความยืดหยุ่นและบรรเทาอาการปวดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อาการปวดส้นเท้าจาก “โรครองช้ำ” คืออะไร?

โรครองช้ำ หรือ Plantar Fasciitis คือภาวะอักเสบของ “พังผืดใต้ฝ่าเท้า” (Plantar Fascia) ซึ่งเป็นแถบเนื้อเยื่อพังผืดที่มีลักษณะหนาและแข็งแรง ขึงอยู่ระหว่างกระดูกส้นเท้าไปจนถึงปลายกระดูกฝ่าเท้า ทำหน้าที่สำคัญในการช่วยรับแรงกระแทกและรักษาความโค้งของอุ้งเท้า (Foot Arch)

เมื่อพังผืดส่วนนี้ต้องรับแรงกระแทกซ้ำๆ หรือถูกยืดมากเกินไปเป็นเวลานาน จะทำให้เกิดการฉีกขาดเล็กๆ (Micro-tears) ขึ้นภายในเนื้อเยื่อ นำไปสู่การอักเสบและความเจ็บปวด โดยเฉพาะบริเวณจุดเกาะของพังผืดที่กระดูกส้นเท้า ซึ่งเป็นที่มาของอาการ ปวดส้นเท้า ที่หลายคนกำลังเผชิญอยู่

ลักษณะเด่นของอาการคือ:

  • ปวดเหมือนมีของแหลมทิ่ม: โดยเฉพาะก้าวแรกในตอนเช้า หรือหลังจากนั่งนานๆ แล้วลุกขึ้นยืน
  • อาการดีขึ้นเมื่อเคลื่อนไหว: ความเจ็บปวดมักจะลดลงหลังจากเดินไปได้สักพัก
  • กลับมาปวดอีกครั้ง: อาการปวดอาจกำเริบขึ้นอีกครั้งหลังจากการยืนหรือเดินเป็นเวลานาน หรือหลังออกกำลังกาย

สาเหตุโรครองช้ำ และใครคือกลุ่มเสี่ยง?

การทำความเข้าใจถึงปัจจัยเสี่ยงและ สาเหตุโรครองช้ำ คือกุญแจสำคัญในการป้องกันและรักษา การเกิดโรครองช้ำไม่ได้มาจากสาเหตุเดียว แต่เป็นผลมาจากหลายปัจจัยร่วมกันที่สร้างภาระให้กับพังผืดใต้ฝ่าเท้ามากเกินไป

สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดอาการ

โดยแก่นแท้แล้ว โรครองช้ำเกิดจากความตึงเครียดและการรับน้ำหนักที่มากเกินไปบนพังผืดฝ่าเท้า ซึ่งอาจมาจาก:

  1. โครงสร้างเท้าที่ผิดปกติ: ผู้ที่มีเท้าแบน (Flat Feet) หรืออุ้งเท้าสูงเกินไป (High Arch) จะมีการกระจายน้ำหนักที่ไม่สมดุล ทำให้พังผืดใต้ฝ่าเท้าถูกดึงรั้งและรับแรงกดมากกว่าปกติ
  2. น้ำหนักตัวเกิน: น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นทุกกิโลกรัมจะสร้างแรงกดมหาศาลให้กับฝ่าเท้าในทุกย่างก้าว
  3. การใช้งานเท้าที่หนักเกินไป: การยืนหรือเดินเป็นเวลานานๆ โดยเฉพาะบนพื้นแข็ง รวมถึงการออกกำลังกายที่มีแรงกระแทกสูง เช่น การวิ่งระยะไกล การเต้นแอโรบิก โดยไม่มีการวอร์มอัพที่เพียงพอ
  4. การเลือกรองเท้าที่ไม่เหมาะสม: รองเท้าที่พื้นบางเกินไป สึกหรอ หรือไม่มีส่วนเสริมอุ้งเท้าที่ดีพอ จะไม่สามารถช่วยรับแรงกระแทกได้อย่างมีประสิทธิภาพ

กลุ่มเสี่ยงและพฤติกรรมที่ควรระวัง

  • ผู้ที่มีอายุระหว่าง 40-60 ปี: ความยืดหยุ่นของพังผืดใต้ฝ่าเท้าจะลดลงตามวัย
  • นักกีฬาและผู้ออกกำลังกาย: โดยเฉพาะนักวิ่ง หรือผู้ที่เพิ่มความหนักของการฝึกซ้อมเร็วเกินไป
  • ผู้ที่ประกอบอาชีพที่ต้องยืนหรือเดินนาน: เช่น ครู พยาบาล พนักงานโรงงาน หรือพนักงานขาย
  • สตรีมีครรภ์: เนื่องจากน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน
  • ผู้ที่มีภาวะเอ็นร้อยหวายตึง (Tight Achilles Tendon): เอ็นร้อยหวายที่ตึงจะส่งผลให้พังผืดใต้ฝ่าเท้าถูกดึงรั้งมากขึ้น

วิธีแก้โรครองช้ำเบื้องต้น ทำได้อย่างไรเมื่อมีอาการ

เมื่อคุณเริ่มมีอาการ ปวดส้นเท้า จากโรครองช้ำ การดูแลตัวเองในเบื้องต้นอย่างถูกวิธีเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่จะช่วยลดการอักเสบและป้องกันไม่ให้อาการรุนแรงขึ้น นี่คือ วิธีแก้โรครองช้ำ ที่คุณสามารถทำได้ทันที

  1. พักการใช้งานเท้า (Rest): สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการลดกิจกรรมที่กระตุ้นให้เกิดอาการปวด เช่น การวิ่ง การกระโดด หรือการยืนนานๆ ลองเปลี่ยนไปทำกิจกรรมที่มีแรงกระแทกต่ำ เช่น ว่ายน้ำ หรือปั่นจักรยาน แทนชั่วคราว
  2. ประคบเย็น (Ice): การประคบเย็นบริเวณส้นเท้าครั้งละ 15-20 นาที วันละ 3-4 ครั้ง สามารถช่วยลดการอักเสบและบรรเทาอาการปวดได้ดี อาจใช้ขวดน้ำแช่แข็งแล้ววางเท้ากลิ้งไปมา ซึ่งจะช่วยทั้งประคบเย็นและนวดไปในตัว
  3. เลือกรองเท้าให้เหมาะสม: สวมรองเท้าที่มีส่วนซัพพอร์ตอุ้งเท้าที่ดีและมีพื้นนุ่มเพื่อรองรับแรงกระแทก หลีกเลี่ยงการเดินเท้าเปล่าบนพื้นแข็ง และพิจารณาใช้อุปกรณ์เสริมอุ้งเท้า (Arch Support) หรือแผ่นรองส้นเท้าชนิดนุ่ม (Heel Pads)
  4. ควบคุมน้ำหนัก: หากคุณมีน้ำหนักตัวเกิน การลดน้ำหนักจะช่วยลดแรงกดที่กระทำต่อฝ่าเท้าได้อย่างมหาศาล ซึ่งเป็นหนึ่งในวิธีแก้ปัญหาที่ยั่งยืนที่สุด

3 ท่ายืดแก้ปวดส้นเท้า ทำได้เองที่บ้าน

การยืดกล้ามเนื้อเป็นหัวใจสำคัญของการรักษาและป้องกันโรครองช้ำ การทำ ท่ายืดแก้ปวดส้นเท้า อย่างสม่ำเสมอจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของพังผืดใต้ฝ่าเท้าและกล้ามเนื้อน่อง ซึ่งมักเป็นสาเหตุร่วมของอาการตึงรั้ง ควรทำท่าเหล่านี้อย่างช้าๆ และนุ่มนวล โดยเฉพาะในตอนเช้าหลังตื่นนอน

ท่าที่ 1: ยืดกล้ามเนื้อน่องกับกำแพง (Calf Stretch)

กล้ามเนื้อน่องที่ตึงเป็นหนึ่งใน สาเหตุโรครองช้ำ ที่สำคัญ การยืดกล้ามเนื้อส่วนนี้จะช่วยลดแรงดึงที่กระทำต่อส้นเท้าได้

  • วิธีทำ:
    1. ยืนหันหน้าเข้าหากำแพง วางมือทั้งสองข้างบนกำแพงในระดับอก
    2. ก้าวเท้าข้างที่ไม่ปวดไปข้างหน้า งอเข่าเล็กน้อย
    3. เหยียดขาข้างที่ปวดไปด้านหลังให้ตรง โดยวางส้นเท้าแนบสนิทกับพื้น
    4. ค่อยๆ โน้มตัวเข้าหากำแพงจนรู้สึกตึงที่น่องของขาด้านหลัง
    5. ค้างไว้ 30 วินาที แล้วสลับข้าง ทำซ้ำข้างละ 3-5 ครั้ง

ท่าที่ 2: ยืดพังผืดใต้ฝ่าเท้าด้วยผ้าขนหนู (Plantar Fascia Towel Stretch)

เป็นท่าที่ช่วยยืดพังผืดใต้ฝ่าเท้าได้โดยตรง เหมาะสำหรับทำบนเตียงหลังตื่นนอนทันที

  • วิธีทำ:
    1. นั่งบนพื้นหรือบนเตียง เหยียดขาข้างที่ปวดตรงไปข้างหน้า
    2. ใช้ผ้าขนหนูยาวๆ หรือยางยืดออกกำลังกาย คล้องไว้ที่บริเวณอุ้งเท้า
    3. ใช้มือทั้งสองข้างดึงปลายผ้าเข้าหาตัวช้าๆ จนรู้สึกตึงที่ฝ่าเท้าและเอ็นร้อยหวาย
    4. ค้างไว้ 30 วินาที ทำซ้ำ 3-5 ครั้ง

ท่าที่ 3: นวดฝ่าเท้าด้วยขวดน้ำหรือลูกเทนนิส (Bottle/Tennis Ball Roll)

การนวดจะช่วยคลายความตึงเกร็งของพังผืดและเพิ่มการไหลเวียนโลหิต

  • วิธีทำ:
    1. นั่งบนเก้าอี้ วางขวดน้ำแช่เย็นหรือลูกเทนนิสไว้บนพื้น
    2. วางเท้าข้างที่ปวดลงบนขวดหรือลูกบอล
    3. ค่อยๆ ใช้แรงกดที่พอเหมาะ แล้วกลิ้งเท้าไปมาตั้งแต่ส้นเท้าจรดปลายเท้า
    4. ทำนานประมาณ 2-3 นาที ท่านี้สามารถทำได้หลายครั้งต่อวัน

การป้องกันไม่ให้กลับมาปวดส้นเท้าซ้ำ

เมื่ออาการดีขึ้นแล้ว การป้องกันไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำเป็นสิ่งสำคัญ ควรปรับพฤติกรรมเพื่อลดความเสี่ยงในระยะยาว

  • รักษาน้ำหนักตัวให้เหมาะสม: เพื่อลดแรงกดที่ฝ่าเท้าอย่างถาวร
  • เลือกรองเท้าอย่างชาญฉลาด: สวมรองเท้าที่เหมาะสมกับกิจกรรมเสมอ และเปลี่ยนรองเท้ากีฬาเมื่อเริ่มเสื่อมสภาพ
  • ยืดกล้ามเนื้อเป็นประจำ: ทำให้ ท่ายืดแก้ปวดส้นเท้า และการยืดน่องเป็นส่วนหนึ่งของกิจวัตรประจำวัน โดยเฉพาะก่อนและหลังออกกำลังกาย
  • อย่าหักโหม: ค่อยๆ เพิ่มระดับความหนักและระยะเวลาในการออกกำลังกายอย่างช้าๆ

สัญญาณอันตราย! เมื่อไหร่ที่อาการปวดส้นเท้าควรไปพบแพทย์

แม้ว่า วิธีแก้โรครองช้ำ ส่วนใหญ่จะสามารถทำได้ด้วยตนเอง แต่มีบางสถานการณ์ที่ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม

  • อาการปวดยังคงรุนแรงหรือไม่ดีขึ้นเลยหลังจากดูแลตัวเองอย่างเต็มที่เป็นเวลาหลายสัปดาห์
  • มีอาการปวดเฉียบพลันและรุนแรงมากจนไม่สามารถลงน้ำหนักที่เท้าได้
  • มีอาการบวม แดง หรือร้อนบริเวณส้นเท้า ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อ
  • มีอาการชาหรือรู้สึกซ่าๆ ร่วมด้วย ซึ่งอาจบ่งชี้ถึงปัญหาเกี่ยวกับเส้นประสาท
  • ไม่แน่ใจว่าอาการ ปวดส้นเท้า ของตนเองเกิดจากสาเหตุใดกันแน่

บทสรุป

อาการ ปวดส้นเท้า จากโรครองช้ำเป็นภาวะที่สร้างความรำคาญใจ แต่สามารถจัดการได้ด้วยความเข้าใจใน สาเหตุโรครองช้ำ และการปฏิบัติตาม วิธีแก้โรครองช้ำ ที่ถูกต้อง การพักการใช้งานเท้า การประคบเย็น การเลือกรองเท้าที่เหมาะสม และที่สำคัญที่สุดคือการทำ ท่ายืดแก้ปวดส้นเท้า อย่างสม่ำเสมอ คือกุญแจสำคัญในการบรรเทาอาการปวดและฟื้นฟูร่างกายให้กลับมาแข็งแรงดังเดิม จงฟังเสียงร่างกายของคุณและให้เวลาในการฟื้นตัว หากอาการไม่ดีขึ้น การปรึกษาแพทย์หรือนักกายภาพบำบัดคือทางเลือกที่ดีที่สุดเพื่อนำคุณกลับไปสู่การใช้ชีวิตที่กระฉับกระเฉงและปราศจากความเจ็บปวดอีกครั้ง

Shopping Cart
Scroll to Top